วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2561

WannaCry คืออะไร มาดูจุดกำเนิด และวิธีป้องกันไวรัสเรียกค่าไถ่ ที่ดังที่สุดตอนนี้กัน


WannaCry คือ มัลแวร์หรือ Ransomware ชนิดหนึ่ง โดยชื่อของมันอาจจะถูกเรียกหลากหลายกันไป เช่น WannaCryptWanaCrypt0r หรือ Wana Decrypt0r 2.0 นั่นเอง ซึ่งจุดกำเนิดของมันเริ่มต้นจาก กลุ่มแครกเกอร์ The Shadow Broker แฮกเข้าไปขโมย EternalBlue เครื่องมือสุดเจ๋งที่ถูกพัฒนาโดยสำนักงานความมั่นคงแห่งสหรัฐ (NSA) โดยหลังขโมยเสร็จก็นำมาแจกจ่ายแก่สาธารณะ จนมีแครกเกอร์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้เอาเครื่องมือนี้ไปพัฒนาเป็นมัลแวร์เรียกค่าไถ่ตัวนี้ขึ้นมานั่นเอง
    ซึ่งหลังจาก WannaCry ถูกสร้างขึ้น มันก็ได้ถูกทดลองกับหลายๆสถาบันและสร้างความเสียหายอย่างรวดเร็วไปทั่วโลก ซึ่งส่วนมากผู้ใช้ที่โดนก็คือกลุ่มผู้ใช้ Windows เถื่อน หรือ Windows รุ่นเก่าๆที่ไม่ค่อยได้อัพเดทซอร์ฟแวร์นั่นเอง ซึ่งภายหลังทาง Microsoft ก็ได้ออกแพทป้องกัน Ransomware ตัวนี้มาให้ผู้ใช้อัพเดทกัน ซึ่งล่าสุด Kaspersky ออกมาเผยว่า Windows 7 นั่นตกเป็นเหยื่อ WannaCry มากที่สุดในบรรดารุ่นอื่นๆ





    ส่วนใหญ่ไวรัสตัวนี้มักจะมาจากไฟล์แนบตาม e-mail หรือเว็บไซต์ดาวน์โหลดต่างๆที่ไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งผู้ใช้งานจะถูกลวงให้ดาวน์โหลดและติดตั้งไฟล์ของมัน และหลังจากติดตั้งเสร็จเราก็จะถูกมัลแวร์ตัวนี้ฝังลงในเครื่องคอมพ์ของเราทันที หลังจากนั้นไม่นานทุกไฟล์ในเครื่องที่มีนามสกุลไฟล์ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย ก็จะถูกเข้ารหัสทำให้ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ตามปกติ (ไฟล์ที่โดนจะมีนามสกุลไฟล์เป็น .WNCRY) จากนั้นก็จะขึ้นหน้าต่างดังรูปด้านล่าง


ข้อความประมาณว่า "ไฟล์ของคุณถูกเข้ารหัส ถ้าอยากได้ไฟล์คืนให้คุณโอนเงินมาให้เรา"

   ซึ่งเท่ากับว่าไฟล์ข้อมูลของเราโดนจับเป็นตัวประกันเรียบร้อย โดยโดนบังคับให้การชำระเงินจะเป็นแบบ Bitcoin ซึ่งจะมีราคาสูงถึง 300 – 600 ดอลลาร์ กันเลยนั่นเอง
1. Backup ข้อมูลสำคัญๆ เป็นประจำ หรือเก็บข้อมูลสำคัญไว้บน Cloud
2. หลีกเลี่ยงการเปิด E-Mail แปลกๆ
3. หลีกเลี่ยงการเปิดเว็บไซต์ดาวน์โหลดที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือเว็บไซต์ล่อแหลม
4. ไม่ควรติดตั้งไฟล์ Install ที่ไม่รู้จัก หรือไม่แน่ใจว่าเป็นโปรแกรมอะไร
5. อัพเดท Antivirus หรือ Windows เสมอ
6. ใช้ Windows หรือซอร์ฟแวร์อื่นๆแบบลิขสิทธ์แท้
เพียงเท่านี้คอมพิวเตอร์เพื่อนๆก็จะปลอดภัยและมีความเสี่ยงน้อยมากต่อ ไวรัสเรียกค่าไถ่ อย่างเจ้า WannaCry แล้วล่ะครับ


สาเหตุและวิธีแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ Restart เองบ่อย ๆ

คอมพิวเตอร์รีสตาร์ทเองบ่อย ๆ นั้นเป็นปัญหาที่หลายคนเองนั้นคงปวดหัวอยู่ไม่น้อย เนื่องจากในบางเวลานั้นเราอาจจะทำงานทิ้งไว้แล้วยังไม่ได้ทำการบันทึกนั่นเอง ซึ่งสาเหตุปัญหาคอมพิวเตอร์ Restart เองบ่อย ๆ นั้นมักจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ปัญหาทางฮาร์ดแวร์ และปัญหาทางซอร์ฟแวร์หรือระบบปฏิบัติการ OS นั่นเอง ซึ่งมีสาเหตุอะไรบ้างเรามาดูกันเลย


สาเหตุและวิธีแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ Restart เอง
1. เกิดจากการอัพเกรดอุปกรณ์ใหม่เข้าไป
สาเหตุ :  แต่อุปกรณ์นั้นไม่สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆรวมไปถึงเมนบอร์ดได้ดีนัก เช่น เกิดจากการใช้แรมคนละยี้ห้อ หรือมีบัสที่แตกต่างจากแรมที่มีอยู่เดิม
วิธีแก้ปัญหา : การตรวจเช็คควรถอดแรมที่อัพเกรดเข้าไปใหม่ออกเสียก่อน แล้วจึงทดลองใช้งาน หากปัญหานี้หมดไป นั่นแสดงว่าป็นเพราะแรมตัวใหม่ นั่นเอง

2. เกิดจากเพาเวอร์ซัพพลาย (Power Supply)
สาเหตุ : เนื่องจากบางครั้งภายในเคสของเรามีการติดตั้งอุปกรณ์มากเกินไปและแต่ละตัวก็ล้วนกินไฟค่อนข้างมาก เช่น ติดตั้ง ฮาร์ดดิสก์ 2 ตัว หรือติดตั้งการ์ดจอ 3 มิติราคาแพง อุปกรณ์เหล่านี้อาจทำให้เพาเวอร์ซัพพลายจ่ายไฟไม่เพียงพอจนทำให้เครื่องต้องรีสตาร์ทใหม่อยู่บ่อย ๆ 
วิธีแก้ปัญหา : เปลี่ยนเพาเวอร์ซัพพลายตัวใหม่ที่มีวัตต์สูงกว่าเดิม

สาเหตุ : มีความเป็นไปได้ว่าคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัสตัวนี้นั้นอาจจะได้รับผลกระทบจากการที่ไวรัสนั้นเข้าไปเปลี่ยนแปลงค่ารีจิสเตอร์ภายในระบบ OS ของเราให้มีความผิดปกติเกิดขึ้นนั่นเอง
วิธีแก้ปัญหา : บูทเครื่องแบบ safe mode ครับ แล้ว เปิด msconfig โดยไปที่ start > run > พิมพ์ว่า msconfig จากนั้นไปที่ช่อง start up ครับ ให้ดูสิ่งผิดปกติ ที่เครื่อง start มันขึ้นมาตอนที่เราเปิดเครื่อง มันจะมีชื่อไฟล์แปลกๆ หรือที่เราไม่คุ้น และต้องสังเกตุว่า มันไม่น่าใช่โปรแกรมที่เราใช้งานอยู่แน่ๆ ส่วนใหญ่จะเป็น "ตัวเลข" จะสังเกตุง่าย หรือเป็นชื่อที่ใกล้เคียงกับไฟล์ system ของระบบ อาทิเช่น SVVIHOST, SCVVHOST ประมาณนี้ครับ จากนั้นก็เอาเครื่องหมาย / ออก แล้วก็ restart เครื่องใหม่ 

4. ไฟล์ OS ไม่สมบูรณ์หรือเสียหาย
สาเหตุ : เป็นไปได้ทั้ง กรณีคือ
1. 
ไวรัส
2.
โปรแกรมบางโปรแกรมเข้าไปรบกวนการทำงานหรือพยายามเข้าไปแก้ไขไฟล์ OS ซึ่งโปรแกรมพวกนั้นได้แก่โปรแกรมละเมิดลิขสิทธ์ต่างๆ เช่นโปรแกรม Crack เป็นต้น
3.
ไฟล์ OS ที่นำมาติดตั้งนั้นไม่สมบูรณ์อยู่แล้วตั้งแต่แรก
วิธีแก้ปัญหา : ติดตั้งระบบปฏิบัติการใหม่โดยแนะนำให้ดาวน์โหลดไฟล์แท้แบบ Full จากผู้พัฒนาโดยตรงนั่นเองครับ

5. กระแสไฟฟ้าไม่เสถียรหรือไม่เพียงพอ
สาเหตุ : เกิดจากปลั๊กไฟเกิดการหลวมหรือปลั๊กไฟไม่ได้มาตรฐานจึงทำให้ไฟฟ้าที่จ่ายให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรานั้นไม่เพียงพอนั่นเองครับ
วิธีแก้ปัญหา : ลองเปลี่ยนปลั๊กไฟใหม่หรือลองย้ายคอมพิวเตอร์ไปเสียบปลั๊กไฟตัวอื่นในบริเวณอื่นๆดู

ปัญหาที่เกิดจากอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์อื่นๆ
แรม : ตอนมีอาการจะแสดงหน้าจอสีฟ้า (บลูสกรีน) ทำความสะอาดอาจช่วยได้ หรือหนักหน่อยคือเปลี่ยน
การ์ดจอ : มักเกิดตอนร้อนจัด อาจมีปัญหาจากชิปคุณภาพต่ำ ระบายความร้อนไม่ดี ลองใช้การ์ดจออื่นแทนหากปัญหาหายไปก็เตรียมเคลมได้เลย
ซีพียู : ระบายความร้อนไม่ดี อาจมีขาล็อคพัดลมหลวม ซิลิโคนแห้ง หรือพัดลมหมุนช้า หรือไม่หมุน หากเกิดปัญหานี้มักต้องใช้เวลานานในการรีสตาร์ทอีกครั้ง หรืออาจเปิดไม่ได้เป็นเวลานาน
เมนบอร์ด : มีชิปบางตัวชำรุด หรือคาปาซิเตอร์บางตัวชำรุด ทำให้แรงดันบนบอร์ดไม่คงที่ เมื่อแรงดันกระเพื่อมหรือขาดหายไปก็จะรีสตาร์ทเองได้ ต้องซ่อมบอร์ด หรือเปลี่ยน
ซึ่งหวังว่าจะช่วยเพื่อนๆที่กำลังประสบปัญหาได้ไม่มากก็น้อยนะครับ ซึ่งหากใครมีวิธีเพิ่มเติมก็สามารถแนะนำกันได้ทางช่องคอมเมนตด้านล่างเลยครับ